เมนู

เห็นว่า ปุณณมานพบวชแล้วจักเป็นยอดธรรมกถึกในพระศาสนา
จึงกลับไปตำบลบ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ (ชาติภูมิของท่าน) ให้
ปุณณมานพหลานชายบรรพชาแล้ว คิดว่า ปุณณมาณพนี้ จักอยู่ใน
สำนักของพระพุทธเจ้า จึงได้ปุณณมานพนั้นอยู่ในสำนักของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านเองก็เข้าไปเฝ้าพระทศพล ขออนุญาต
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เสนาสนะใกล้
บ้านไม่เป็นสัปปายะสำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่อาจอยู่
เกลื่อนกล่น จำจักไปอยู่สระฉัททันต์ พระเจ้าข้า ลุกจากอาสนะ
ถวายบังคมแล้วไปยังสระฉัททันต์ อาศัยโขลงช้างสกุลฉัททันต์
ยับยั้งอยู่ 12 ปี ปรินิพพาน ด้วยอนุปานิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นั้นเอง

จบ อรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2 - 3



ประวัติพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถระ

สูตรที่ 2-3 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มหาปญฺญานํ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาอย่างมากมาย
บทว่า อิทฺธิมนฺตานํ ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยฤทธิ์. คำว่า สารีบุตร โมคคัล-
ลานะ เป็นชื่อของพระเถระทั้งสองนั้น. ในปัญหากรรมของพระเถระ
ทั้ง 2 นี้ มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.

ในที่สุดอสงไขยกัปยิ่งด้วยแสนกัป นับแต่กัปนี้ ท่านพระสารีบุตร
บังเกิดในครอบครัวพราหมณมหาศาล ชื่อสรทมาณพ. ท่านพระ
โมคคัลลานะบังเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาล ชื่อสิริวัฑฒกุฏมพี.
ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันมา เมื่อบิดาล่วงลับไปสรทมาณพ
ก็ได้ทรัพย์เป็นอันมาก ซึ่งเป็นสมบัติของสกุล วันหนึ่ง อยู่ในที่ลับ
คิดว่า เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ไม่รู้อัตภาพในโลกอื่น ขึ้นชื่อว่า
ความตายเป็นของแน่ สำหรับเหล่าสัตว์ที่เกิดมาแล้ว. ควรที่เรา
จะถือบวชสักอย่างหนึ่ง แสวงหาโมกขธรรม. สรทมาณพนั้นไปหาสหาย
กล่าวว่า เพื่อนสิริวัฑฒ์ เราจักบวชแสวงหาโมกขธรรม เจ้าจักบวช
พร้อมกันเราได้ไหม. สิริวัฑฒกุฏมพีตอบว่า ไม่ได้ดอกเพื่อน เจ้าบวช
คนเดียวเถิด. สรทมาณพคิดว่า คนเมื่อไปปรโลก จะพาสหายหรือ
ญาติมิตรไปด้วยหามีไม่ กรรมที่ตนทำก็เป็นของตนผู้เดียว ต่อนั้น
ก็สั่งให้เปิดเรือนคลังรัตนะให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทาง
ไกล วณิพกและยาจกทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤษี. มีคนบวชตาม
สรทมาณพนั้น อย่างนี้คือ คน 1 2 คน 3 คน กลายเป็นชฏิลจำนวน
ประมาณ 74,000 รูป สรทฤษีนั้น ทำอภิญญา 5 สมาบัติ 8 ให้
บังเกิดแล้ว ก็สอนกสิณบริกรรมแก่ชฏิลเหล่านั้น. ชฎิลเหล่านั้น
ก็ทำอภิญญา 5 สมาบัติ 8 ให้บังเกิดทุกรูป.
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสีทรงอุบัติขึ้น
ในโลก. พระนครชื่อว่า จันทวดี. พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า
ยศวันตะ. พระพุทธมารดา เป็นพระเทวีพระนามว่า ยโสธรา. ต้นไม้
ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าอัชชุนพฤกษ์ ต้นกุ่ม (ต้นรกฟ้าขาวก็ว่า). พระอัครสาวก

ทั้ง 2 ชื่อว่า พระนิสภเถระ และพระอโนมเถระ. พระพุทธอุปฐาก
ชื่อพระวรุณเถระ พระอัครสาวิกาทั้ง 2 ชื่อ สุนทรา และ สุมนา.
ทรงมีพระชนมายุ 10,000 พรรษา. พระวรกายสูง 58 ศอก.
รัศมีพระวรกายแผ่ไป 12 โยชน์. มีภิกษุเป็นบริวาร 100,000 รูป.
ต่อมาวันหนึ่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า เสด็จออกจากพระมหากรุณา
สมาบัติ ทรงตรวจดูโลก เวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นสรทดาบส ทรงพระ
ดำริว่า วันนี้ เพราะเราไปหาสรทดาบสเป็นปัจจัย จักมีธรรมเทศนา
กัณฑ์ใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก
สิริวัฑฒกุฏุมพีสหายของเขา จักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ 2
จบเทศนาชฏิล 74,000 รูป บริวารของเขา จักบรรลุพระอรหัต
ควรที่เราจะไปที่นั้น. ดังนี้แล้ว ทรงถือบาตรสละจีวรของพระองค์
ไม่เรียกใครอื่น เสด็จลำพังพระองค์เหมือนราชสีห์ เมื่อเหล่าอันเต-
วาสิก ศิษย์ของสรทดาบส ออกไปแสวงหาผลาผล ทรงอธิษฐานว่า
ขอสรทดาบสจงรู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อสรทดาบสกำลังดู
อยู่นั่นเอง ก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนบนพื้นดิน.

สรทดาบส เห็นพระพุทธานุภาพและพระสรีรสมบัติของพระองค์
จึงพิจารณาลักษณมนต์ ก็รู้ว่า ธรรมดาผู้ประกอบด้วยลักษณะ
เหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือน ก็ต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อบวช
ก็ต้องเป็นพระสัพพัญญูพุทธะ ผู้ทรงเปิดกิเลสดุจหลังคาเสียแล้ว
ในโลก มหาบุรุษผู้นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย จึง
ออกไปต้อนรับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ปูอาสนะถวาย
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูแล้ว. แม้สรทดาบส

ก็ถือเอาอาสนะที่สมควรแก่ตน นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. สมัยนั้น
ชฏิล 74,000 รูป ก็ถือผลาผลมีโอชะอันประณีต ๆ มาถึงสำนัก
ของอาจารย์ มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้า และอาจารย์นั่งแล้วกล่าวว่า
ท่านอาจารย์ พวกเราเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่า
ท่านในโลกนี้ แต่บุรุษผู้นี้เห็นทีจะใหญ่กว่าท่านแน่. สรทดาบส
กล่าวว่า พ่อเอ๋ย พูดอะไร พวกเจ้าประสงค์จะเปรียบขุนเขาสิเนรุ
ซึ่งสูง 6,000,000 โยชน์ ทำให้เท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด. ลูกเอ๋ย
พวกเจ้าอย่าเปรียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธะเลย. ครั้งนั้น ชฏิล
เหล่านั้นคิดว่า ถ้าบุรุษผู้นี้ จักเป็นสัตว์ต่ำช้าแล้วไซร้ อาจารย์
ของเราคงไม่นำมาเปรียบเช่นนี้ ที่แท้บุรุษผู้นี้ต้องเป็นใหญ่หนอ
ทุกรูปจึงหมอบแทบเบื้องพระยุคลบาท ไหว้ด้วยเศียรเกล้า. ลำดับนั้น
อาจารย์จึงกล่าวกะชฏิลเหล่านั้นว่า พ่อเอ๋ย ไทยธรรมของเราที่คู่ควร
แก่พระพุทธเจ้าไม่มีเลย. ในเวลาภิกษาจาร พระศาสดา
ก็เสด็จมาแล้วในที่นี้ พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลัง พวกเจ้า
จงนำผลาผลของเราที่ประณีต ๆ มา แล้วให้นำมา ล้างมือแล้ว
ก็วางไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง. พอพระศาสดาทรง
รับผลาผล เทวดาทั้งหลายก็ใส่ทิพโอชะลง. ดาบสก็กรองน้ำถวาย
ด้วยตนเอง. ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งเสวยเสร็จแล้ว
ดาบสก็เรียกอันเตวาสิกมาทุกคน นั่งพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นสาราณียกถา
(ถ้อยคำให้หวนระลึกถึงกัน) ในสำนักพระศาสดา.

พระศาสดาทรงดำริว่า พระอัครสาวกทั้งสอง จงมา
พร้อมกับภิกษุสงฆ์ พระอัครสาวกเหล่านั้นรู้พระดำริของพระศาสดา

มีพระขีณาสพแสนองค์เป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืน
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น สรทดาบสเรียกพวกอันเตวาสิกมาพูดว่า พ่อทั้งหลาย
อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งก็ต่ำ อาสนะที่พระสมณะแสนองค์
นั่งก็ไม่มี วันนี้ ควรที่ท่านทั้งหลายจะกระทำพุทธสักการะให้โอฬาร
ท่านทั้งหลายจงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นจากเชิงเขามา
เวลาที่กล่าวย่อมเป็นเหมือนเนิ่นนาน แต่วิสัยของผู้มีฤทธิ์เป็นอจินไตย
เพราะเหตุนั้น ดาบสเหล่านั้นจึงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น
มา โดยกาลชั่วครู่เดียวเท่านั้น ตกแต่งอาสนะดอกไม้ประมาณโยชน์
หนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับพระอัครสาวกทั้งหลาย
3 คาวุต สำหรับภิกษุที่เหลือต่างกันกึ่งโยชน์ เป็นต้น สำหรับ
ภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ประมาณอุสภะเดียว. เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว สรทดาบสยืนประคองอัญชลีตรงพระพักตร์พระตถาคต
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอจงเสด็จขึ้นอาสนะดอกไม้
นี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด
(ครั้นกล่าวแล้ว จึงได้กล่าวเป็นยาถาประพันธ์ดังนี้ว่า)

นานาปุบฺผํ จ คนฺธญฺจ สมฺปาเทตฺวาน เอกโต
ปุบฺผาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อิทํ วจนมพฺธรวึ

ฯลฯ

ข้าพระองค์ร่วมกันรวบรวมดอกไม้ต่าง ๆ
และของหอมมาตกแต่งอาสนะดอกไม้ ได้กราบ
ทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระผู้กล้าหาญ อาสนะนี้ตกแต่ง

ไว้เพื่อพระองค์ เหมาะสมแก่พระองค์ ขอ
พระองค์จงยังจิตของข้าพระองค์ให้ผ่องใส
ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้เถิด. พระพุทธเจ้า
ได้ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอดเจ็ดวันเจ็ด
คืน ทำจิตของเราให้ผ่องใส ทำโลกพร้อมทั้งเทวดา
ให้ร่าเริง.


เมื่อพระศาสดาประทับนั่งอย่างนี้แล้ว พระอัครสาวกทั้งสอง
กับเหล่าภิกษุที่เหลือ ก็นั่งบนอาสนะอันถึงแล้วแก่ตน ๆ. สรทดาบส
ถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ยืนกั้นเหนือพระเศียรพระตถาคต. พระศาสดา
ทรงเข้านิโรธสมาบัติด้วยพระดำริว่า สักการะนี้ จงมีผลมากแก่
ชฏิลทั้งหลาย. พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี รู้ว่าพระ
ศาสดาทรงเข้าสมาบัติ ก็พากันเข้าสมาบัติ. เมื่อพระตถาคตนั่งเข้า
นิโรธสมาบัติตลอด. 7 วัน พวกอันเตวาสิก เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร
ก็บริโภคมูลผลาหารของป่า ในเวลาที่เหลือก็ยืนประคองอัญชลีแด่
พระพุทธเจ้า. ส่วนสรทดาบส แม้ภิกขาจารก็ไม่ไป ยับยั้งอยู่ด้วย
ปีติและสุขทั้ง 7 วัน โดยทำนองที่ถือฉัตรดอกไม้อยู่นั่นแหละ.
พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้วตรัสเรียกพระ
นิสภเถระอัครสาวกผู้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาว่า นิสภะเธอจงทำบุบผา-
สนานุโมทนาแก่ดาบทั้งหลายผู้การทำสักการะ. พระเถระดีใจ
เหมือนทหารใหญ่ได้ลาภมากจากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ
ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณเริ่มอนุโมทนาเกี่ยวกับการถวายอาสนะ
ดอกไม้. ในเวลาจบเทศนาของพระอัครสาวกนั้น จงตรัสเรียกทุติย-

สาวกว่า ภิกษุ แม้เธอก็จงแสดงธรรม. ฝ่ายพระอโนมเถระพิจารณา
พระไตรปิฎกพุทธวจนะมากล่าวธรรมกถา. ด้วยเทศนาของพระ
อัครสาวกทั้งสอง แม้ชฎิลสักรูปหนึ่งไม่ได้ตรัสรู้. ลำดับนั้น พระ
ศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยอันหาประมาณไม่ได้ ทรงเริ่มพระ-
ธรรมเทศนา. ในเวลาจบเทศนา เว้นสรทดาบส ชฏิลแม้ทั้งหมดจำนวน
74,000 รูป บรรลุพระอรหัต. พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์
ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นเอง ผมและหนวดของชฏิล
เหล่านั้นก็หายไป บริขาร 8 ก็ได้สรวมสอดเข้าในกายทันที.

ถามว่า เพราะเหตุไร สรทดาบสจึงไม่บรรลุพระอรหัต.
ตอบว่า เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน. ได้ยินว่า. จำเดิมตั้งแต่เริ่มฟังเทศนา
ของพระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่สองของพระพุทธเจ้า ผู้ตั้งอยู่
ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่ สรทดาบสนั้นเกิดความคิดขึ้นว่า
โอหนอ แม้เราก็ควรได้หน้าที่ที่พระสาวกนี้ได้ ในศาสนาของพระ
พุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต. สรทดาบสนั้นไม่อาจทำให้
แจ้งมรรคผล ก็เพราะความปริวิตกนั้น จึงถวายบังคมพระตถาคต
แล้วยืนตรงพระพักตร์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ
ผู้นั่งบนอาสนะติดกับพระองค์ชื่อไร. ในศาสนาของพระองค์. พระ
ศาสดาตรัสว่า ภิกษุนี้ผู้ประกาศตามพระธรรมจักรที่เราประกาศ
แล้ว ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ แทงตลอดโสฬสปัญหา ชื่อว่า
นิสภเถระอัครสาวกในศาสนาของเรา. สรทดาบส (ได้ฟังแล้ว)
จึงได้ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ข้าพระองค์กั้นฉัตร
ดอกไม้ตลอด 7 วัน การทำสักการะนี้ใด ด้วยผลของสักการะนี้

นั้น ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาเป็นท้าวสักกะหรือเป็นพรหมสัก
อย่างหนึ่ง แต่ในอนาคต ขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นพระอัครสาวกของ
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนพระนิสภเถระนี้.
พระศาสดาทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูว่า ความปรารถนา
ของดาบสนี้ จักสำเร็จไหมหนอ ก็ได้ทรงเห็นว่าล่วงไปหนึ่งอสงไขย
ยิ่งด้วยแสนกัปจะสำเร็จ ก็แหละครั้นทรงเห็นแล้วจึงตรัสกะสรทดาบส
ว่า ความปรารถนาอันนี้ของท่านจักไม่เป็นของเปล่า แต่ในอนาคต
ล่วงไปหนึ่งอสังไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
โคดม จักอุบัติขึ้นในโลก จักมีพระพุทธมารดานามว่า มหามายาเทวี
จักมีพระพุทธบิดานามว่า สุทโธทนมหาราช จักมีพระโอรสนามว่า
ราหุล จักมีพระอุปัฏฐากนามว่า อานนท์ จักมีพระทุติยสาวกนามว่า
โมคคัลลานะ ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวกของพระโคดมนั้น
นามว่าพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสนั้น
อย่างนี้แล้วตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จเหาะไป
ทางอากาศ.
ฝ่ายสรทดาบสไปยังสำนักของพระเถระผู้เคยเป็นอันเตวาสิก
แล้วให้ส่งข่าวแก่สิริวัฑฒกุฏุมพีผู้เป็นสหายว่า ท่านผู้เจริญ ท่าน
จงบอกสหายของข้าพเจ้าว่า สรทดาบสผู้สหายของท่าน ปรารถนา
ตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า ผู้จะเสด็จอุบัติ
ในอนาคต ณ ที่ใกล้บาทมูลของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ส่วนท่าน
จงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกเถิด ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว
ก็ไปโดยครู่เดียวก่อนหน้าพระเถระทั้งหลาย ได้ยินอยู่ที่ประตูนิเวศน์
ของสิริวัฑฒกุฎุมพี

สิริวัฑฒกุฏุมพีปราศัยว่า นานหนอ พระผู้เป็นเจ้าจะได้มา
แล้วให้นั่งบนอาสนะ ส่วนตนนั่งบนอาสนะตัวที่ต่ำกว่าถามว่า ก็
อันเตวาสิกบริษัทของท่านไม่ปรากฏหรือขอรับ สรทดาบสกล่าวว่า
เจริญพร สหาย พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จมาในอาศรมของ
พวกอาตมภาพ ๆได้กระทำสักการะแด่พระองค์ท่านตามกำลังของตน ๆ
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ดาบสทั้งหมด ในเวลาจบเทศนา
ดาบสที่เหลือบรรลุพระอรหัต เว้นอาตมภาพ. สิริวัฑฒกุฏุมพีถามว่า
เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บวช. สรทดาบสกล่าวว่า อาตมภาพเห็นพระ-
นิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดาแล้ว จึงได้ปรารถนาตำแหน่งอัคร-
สาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติใน
อนาคต. แม้ตัวท่านก็จงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกในศาสนาของ
พระโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด. สิริวัฑฒกุฏุมพีกล่าวว่า ท่าน
ขอรับกระผมไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า. สรทดาบสกล่าวว่า
การกราบทูลกับพระพุทธเจ้า จงเป็นภาระของอาตมภาพ ท่านจง
ตระเตรียมอธิการ (สักการะอันยิ่งยวด) ไว้เถิด. สิริวัฑฒกุฏุมพี ฟังคำ
ของสรทดาบสแล้ว จึงให้ปรับสถานที่ประมาณ 8 กรีส ด้วยไม้วัดหลวง
ให้มีพื้นที่เสมอกัน ณ สถานที่ในนิเวศน์ของตนแล้วให้เกลี่ยทราย โปรย
ดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ 5 ให้สร้างมณฑปมุงด้วยดอกอุบลขาบ ตกแต่ง
พุทธอาสน์ จัดอาสนะตำหรับพระภิกษุแม้ที่เหลือ เตรียมเครื่องสักการะ
สัมมานะใหญ่โต แล้วให้สัญญาณแก่สรทดาบสเพื่อทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า.
ดาบสได้ฟังคำของสิริวัฑฒกุฏุมพีนั้นแล้ว จึงพาภิกษุสงฆ์มีพระ
พุทธเจ้าเป็นประมุข ไปยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒกุฏุมพีนั้น. สิริวัฑฒ-
กุฏุมพีกระทำการรับเสด็จ รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระตถาคต

นิมนต์ให้เสด็จเข้าไปยังมณฑป ถวายน้ำทักษิโณทกแด่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ผู้นั่ง ณ อาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว เลี้ยง
ดูด้วยโภชนะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ ให้ภิกษุสงฆ์มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นประมุขครองผ้าอันควรค่ามากแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ความริเริ่มนี้ เพื่อต้องการฐานะอันมีประมาณ
เล็กน้อยก็หามิได้ ขอพระองค์ทรงกระทำความอนุเคราะห์ตลอด
7 วัน โดยทำนองนี้แหละ. พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว. สิริวัฑฒ
กุฎุมพีนั้นยังมหาทานให้เป็นไปไม่ขาดสายตลอด 7 วัน โดยทำนอง
นั้นนั่นแหละ. แล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ายืนประคองอัญชลี
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสรทดาบสสหาย ของข้าพระองค์
ปรารถนาว่า ขอให้เป็นอัครสาวกของพระศาสดาองค์ใด ข้าพระองค์
ขอเป็นทุติยสาวกของพระศาสดาองค์นั้นเหมือนกัน. พระศาสดา
ทรงตรวจดูอนาคตทรงเห็นว่า ความปรารถนาของเขาสำเร็จ จึง
ทรงพยากรณ์ว่า ล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจากภัตรกัป
นี้ไป ท่านจักเป็นทุติยสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า. สิริวัฑฒกุฏุมพี
ได้ฟังคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้ยินดีร่าเริง. ฝ่าย
พระศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งบริวารเสด็จกลับ
ไปยังพระวิหาร. จำเดิมแต่นั้นมา สิริวัฑฒกุฏุมพีกระทำกรรมงาม
ตลอดชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ในวารจิตที่สอง.
สรทดาบสเจริญพรหมวิหาร 4 ได้บังเกิดในพรหมโลก. จำเดิม
แต่นั้นมา ท่านไม่พูดถึงกรรมในระหว่างแม้ของท่านทั้งสองนี้.
ก็ก่อนแต่การเสด็จบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย
นั่นแล สรทดาบสถือปฏิสนธิในครรภ์ของสารีพราหมณีในบ้าน

อุปติสสคาม ไม่ไกลกรุงราชคฤห์. ก็ในวันนั้นแหละ แม้สหายของ
สรทดาบสนั้นก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของโมคคัลลีพราหมณี ในบ้าน
โกลิตคาม อันไม่ไกลกรุงราชคฤห์เหมือนกัน. ได้ยินว่าตระกูล
แม้ทั้งสองนั้นได้เป็นสหายเกี่ยวเนื่องกันมา 7 ชั่วตระกูลทีเดียว.
ญาติทั้งหลายได้ให้การบริหารครรภ์แก่คนแม้ทั้งสองนั้นในวัน
เดียวกัน ได้นำแม่นม 66 คนเข้าไปให้แก่คนทั้งสองนั้น แม้ผู้ซึ่ง
เกิดแล้ว เมื่อล่วงไป 10 เดือน. ในวันตั้งชื่อ ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อ
บุตรของสารีพราหมณีว่าอุปติสสะ เพราะเป็นบุตรของหัวหน้า
ตระกูลในบ้านอุปติสสคาม ตั้งชื่อบุตรนอกนี้ว่า โกลิตะ เพราะ
เป็นบุตรของหัวหน้าตระกูลในบ้านโกลิตคาม. คนแม้ทั้งสองนั้น
เจริญวัยขึ้นก็สำเร็จศิลปศาสตร์ทุกอย่าง.

ในเวลาไปยังแม่น้ำหรืออุทยานเพื่อจะเล่น อุปติสสมาณพ
มีวอทอง 500 วอเป็นเครื่องแห่แหน โกลิตมาณพมีรถเทียมม้า
อาชาไนย 500 คันเป็นเครื่องแห่แหน ชนแม้ทั้งสองมีมาณพคนละ
500 เป็นบริวาร. ก็ในกรุงราชคฤห์ มีมหรสพบนยอดเขาเป็น
ประจำปี. ชนทั้งหลายผูกเตียงไว้ในที่เดียวกัน สำหรับมาณพแม้
ทั้งสองนั้น แม้มาณพทั้งสองก็นั่งรวมกันดูมหรสพ ร่าเริงในฐานะ
ที่ควรร่าเริง สังเวชในฐานะที่ควรสังเวช ตกรางวัลในฐานะที่ควร
ตกรางวัล. วันหนึ่ง เมื่อชนทั้งสองนั้นดูมหรสพโดยทำนองนี้แหละ
มิได้มีความร่าเริงในฐานะที่ควรร่าเริง สังเวชในฐานะที่ควรสังเวช
หรือตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล เพราะญาณแก่กล้าแล้ว. ก็
ชนแม้ทั้งสองต่างคิดอย่างนี้ว่า มีอะไรที่เราจะควรดูในมหรสพนี้

คนเหล่านี้แม้ทั้งหมด ยังไม่ถึง 100 ปี ต่างก็จะล้มหายตายจาก
กันไป ก็เราทั้งหลายควรแสวงหาโมกขธรรมสักอย่างหนึ่ง ดังนี้
แล้วนั่งนึกเอาเป็นอารมณ์อยู่ ลำดับนั้น โกลิตะกล่าวกะอุปติสสะว่า
เพื่อนอุปติสสะ ท่านไม่สนุกร่าเริงเหมือนวันก่อน ๆ ใจลอย ท่านคิด
อะไรหรือ อุปติสสะกล่าวว่า เพื่อนโกลิตะ เรานั่งคิดถึงเรื่องนี้อยู่ว่า
ในการดูของคนเหล่านี้ ไม่มีแก่นสารเลย การดูนี้ไม่มีประโยชน์
ควรแสวงหาธรรมเครื่องหลุดพ้นสำหรับตน ก็ท่านเล่า เพราะเหตุไร
จึงใจลอย แม้โกลิตะนั้นก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน. ครั้นอุปติสสะ
รู้ว่าโกลิตะนั้นมีอัชฌาศัยอย่างเดียวกับตน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า สิ่ง
ที่เราแม้ทั้งสองคิดเป็นการคิดที่ดี เมื่อจะแสวงหาโมกขธรรม ควรจะ
ได้การบวชสักอย่างหนึ่งดังนั้น พวกเราจักบวชในสำนักใคร.

ก็สมัยนั้น สัญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ พร้อม
กับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ มาณพทั้งสองนั้นตกลงว่า จักบวช
ในสำนักของสัญชัยปริพาชกนั้น จึงบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก
พร้อมกับมาณพ 500 คน. จำเดิมแต่กาลที่มาณพทั้งสองนั้นบวช
แล้ว สัญชัยปริพาชกได้ลาภได้ยศเหลือหลาย. มาณพทั้งสองนั้น
เรียนจบลัทธิของสัญชัยปริพาชกทั้งหมด โดย 2 - 3 วันเท่านั้น
แล้วถามว่า ท่านอาจารย์ ลัทธิอันเป็นความรู้ของท่านมีเท่านี้ หรือ
มียิ่งขึ้นไปอีก. สัญชัยปริพาชกกล่าวว่า มีเท่านี้แหละ พวกท่าน
รู้หมดแล้ว. มาณพเหล่านั้นฟังถ้อยคำ ของสัญชัยปริพาชกนั้น
แล้ว คิดกันว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนัก
ของสัญชัยปริพาชกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราออกบวชก็เพื่อ

แสวงหาโมกขธรรม พวกเราไม่อาจให้เกิดขึ้นในสำนักของสัญชัย-
ปริพาชกนี้ ก็ชมพูทวีปใหญ่โต พวกเราเที่ยวไปยังคาม นิคม และ
ราชธานี จักได้อาจารย์สักท่านหนึ่งผู้แสวงโมกขธรรมได้เป็นแน่
จำเดิมแต่นั้น มาณพทั้งสองนั้นได้ฟังว่า สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต
มีอยู่ ณ ที่ใด ๆ ก็ไป ณ ที่นั้น ๆ กระทำการสนทนาปัญหา. ปัญหา
ที่มาณพทั้งนั้นถามแล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีความสามารถที่จะแก้ได้. แต่
มาณพทั้งสองนั้น แก้ปัญหาของคนเหล่านั้นได้. มาณพทั้งสองนั้น
เที่ยวสอบไปทั่วชมพูทวีป ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วกลับมาที่อยู่เดิม
ของตน ได้ทำกติกากันว่า เพื่อนโกลิตะ ผู้ใดบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้น
จงบอกแก่กัน.

ก็สมัยนั้น พระศาสดาของเราทั้งหลายบรรลุพระปรมาภิ-
สัมโพธิญาณแล้วประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จถึงกรุง
ราชคฤห์โดยลำดับ. ครั้งนั้น พระอัสสชิเถระในจำนวนภิกษุปัญจ-
วัคคีย์ ในระหว่างภิกษุทั้งหลายที่ทรงส่งไปประกาศคุณของพระ
รัตนตรัยว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์
เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก ดังนี้ ในสมัยที่กล่าวว่า พระอรหันต์ 61
องค์ อุบัติขึ้นแล้วในโลก ดังนี้ ท่านหวนกลับมายังกรุงราชคฤห์ ใน
วันรุ่งขึ้น ถือบาตรสละจีวรเข้าไปบิณฑบาตรยังกรุงราชคฤห์แต่
เช้าตรู่. สมัยนั้น อุปติสสปริพาชกทำภัตกิจแต่เช้ามืดแล้วเดินไป
อารามปริพาชก ได้เห็นพระเถระจึงคิดว่า ชื่อว่าบรรพชิตเห็นปานนี้
เราไม่เคยเห็นเลย ภิกษุนี้คงจะเป็นภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในบรรดา
ภิกษุผู้เป็นอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตตมรรคในโลก ถ้ากระไร เรา

ควรเข้าไปหาภิกษุนี้แล้วถามปัญหาว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชจำเพาะ
ใคร หรือใครเป็นศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร.
ลำดับนั้น เขาได้มีความคิดว่า มิใช่กาลที่จะถามปัญหากะภิกษุนี้ ๆ
เข้าไปยังละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ไฉนหนอเราพึงติดตาม
ภิกษุนี้ไปข้างหลัง ๆ เพราะการติดตามภิกษุนี้ไปนั้น เป็นทางที่
ผู้ต้องการเข้าไปรู้แล้ว. อุปติสสปริพาชกเห็นพระเถระได้บิณฑบาต
แล้วไปยังโอกาสแห่งหนึ่ง และรู้ว่าพระเถระนั้นต้องการจะนั่ง จึง
ได้ลาดตั่งปริพาชกของตนถวาย แม้ในเวลาเสร็จภัตกิจ ก็ได้ถวาย
น้ำในคณโฑน้ำของตนแก่พระเถระนั้น กระทำอาจริยวัตรอย่างนี้แล้ว
กระทำปฏิสันถารอ่อนหวาน กับพระเถระผู้กระทำภัตกิจเสร็จ
แล้วถามว่า ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสนักแล
ฉวีวรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้มีอายุ ท่านบวชจำเพาะใคร หรือใครเป็น
ศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร. พระเถระกล่าวว่า
ผู้มีอายุ พระมหาสมณะศากยบุตร ออกบวชจากศากยตระกูลมีอยู่
เราบวชจำเพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระผู้
มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. ลำดับนั้น อุปติสสปริพาชกจึงถาม
พระเถระนั้นว่า ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุมีวาทะอย่างไร กล่าว
อย่างไร. พระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้ เป็นปฏิปักษ์
ต่อพระศาสนา เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้
เมื่อจะถ่อมตนว่าเรายังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็น
ผู้ใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่มาสู่พระวินัยนี้ เราไม่อาจแสดงธรรม
โดยพิสดารได้ก่อน. ปริพาชกคิดว่า เราชื่อว่าอุปติสสะ ท่านจง

กล่าวน้อยหรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมนั่น
ด้วยร้อยนับพันนัย เป็นภาระของเรา จึงกล่าวว่า

อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ อตฺถํเยว เม พฺรูหิ
อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุํ
ท่านจงกล่าวเถิด น้อยก็ตามมากก็ตาม จงกล่าว
เฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการ
ใจความเท่านั้น. ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไป
ทำไม.


เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า เย ธมฺมา
เหตุปฺปภวา
(ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด) ดังนี้เป็นต้น. ปริพาชก
ฟังเฉพาะ. 2 บทแรกเท่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคอันสมบูรณ์
ด้วยนัยพันหนึ่ง. ทำ 2 บทหลังให้จบลงในเวลาเป็นพระโสดาบันแล้ว.
ปริพาชกนั้นได้เป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อคุณวิเศษชั้นสูงยังไม่เกิด
จึงกำหนดว่า เหตุในคำสอนนี้จักมี จึงกล่าวกะพระเถระว่า ท่าน
ผู้เจริญ ท่านอย่าขยายธรรมเทศนาให้สูงไป คำมีประมาณเท่านี้แหละ
พอแล้ว พระศาสดาของเราทั้งหลายประทับอยู่ที่ไหน. พระเถระ
บอกว่า ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน. ปริพาชกกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า
ขอท่านจงล่วงหน้าไปก่อน กระผมมีสหายอยู่คนหนึ่ง และได้ทำกติกา
กันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กัน กระผมจักเปลื้อง
ปฏิญญาข้อนั้น แล้วพาสหายไปยังสำนักของพระศาสดา ตามทาง
ที่ท่านไปนั่นแหละ แล้วหมอบลงแทบเท้าพระเถระด้วยเบญจางค-

ประดิษฐ์ กระทำประทักษิณ 3 ครั้งแล้วส่งพระเถระไป ส่วนตน
ก็เดินมุ่งตรงไปยังอารามของปริพาชก โกลิตปริพาชกเห็นอุปติสส-
ปริพาชกเดินมาแต่ไกล คิดว่า วันนี้หายเรามีสีหน้าไม่เหมือนวันก่อน ๆ
เขาจักได้บรรลุอมตะแน่แท้ จึงถามถึงการบรรลุอมตะ. แม้อุปติสส-
ปริพาชกนั้นก็ได้ปฏิญญาแก่โกลิตปริพาชกนั้นว่า ผู้มีอายุ เราบรรลุ
อมตะแล้ว จึงได้กล่าวคาถานั้นนั่นแหละ. ในเวลาจบคาถา โกลิตะ
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วกล่าวว่า สหาย ได้ยินว่าพระศาสดาประทับ
อยู่ที่ไหน. อุปติสสะกล่าวว่า สหาย นัยว่าพระศาสดาประทับอยู่
ในพระเวฬุวัน. พระอัสสชิเถระอาจารย์ของพวกเราบอกอย่างนี้
ด้วยประการฉะนี้. โกลิตะกล่าวว่า สหาย ถ้าอย่างนั้น มาเถิด พวก
เราจักเฝ้าพระศาสดา. ธรรมดาว่าพระสารีบุตรเถระนี้ เป็นผู้บูชา
อาจารย์แม้ในกาลทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวกะโกลิตมาณพ
ผู้สหายอย่างนี้ว่า สหาย เราจักบอกอมตะที่เราบรรลุ แม้แก่สัญชัย-
ปริพาชกอาจารย์ของเรา ท่านรู้อยู่ก็จักแทงตลอด เมื่อไม่แทงตลอด
เชื่อพวกเราก็จักไปยังสำนักของพระศาสดา ฟังธรรมเทศนาของ
พระพุทธเจ้าแล้วจักกระทำการแทงตลอดมรรคผล. แต่นั้น ชนแม้
ทั้งสองไปยังสำนักของสัญชัยกล่าวว่า อาจารย์ขอรับ ท่านจักทำ
อย่างไร พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระธรรมอันพระพุทธเจ้า
ตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว มาเถิด พวกเราจักเฝ้า
พระทศพล. สัญชัยปริพาชกกล่าวว่า พูดอะไร พ่อ แล้วห้ามชน
ทั้งสองแม้นั้น แสดงแต่การได้ลาภอันเลิศและ. อันเลิศเท่านั้น
แก่ชนทั้งสองนั้น. ชนทั้งสองนั้นกล่าวว่า การอยู่เป็นอันเตวาสิก
เห็นปานนี้ของข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นประจำไปทีเดียว จงยกเสียเถิด

แต่ท่านจงรู้ตัวท่านว่าจะไปหรือไม่ไป. สัญชัยปริพาชกรู้ว่า ชน
เหล่านี้รู้ความต้องการมีประมาณเท่านี้แล้ว จักไม่เชื่อถือคำพูด
ของเรา จึงกล่าวว่า ไปเถิดพ่อทั้งหลาย เราไม่อาจอยู่เป็นอันเตวาสิก
(ของตนอื่น) ในคราวเป็นคนแก่. ชนทั้งสองนั้นไม่อาจให้สัญชัย-
ปริพาชกนั้นเข้าใจด้วยเหตุแม้เป็นอันมาก จึงได้พาชนผู้ประพฤติ
ตามโอวาทของตนไปยังพระเวฬุวัน. ครั้งนั้น ในบรรดาอันเตวาสิก
500 คนของชนทั้งสองนั้น 250 คนกลับ อีก 250 คนได้ไปกับ
ชนทั้งสองนั้น.

พระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท 4
ทรงเห็นชนเหล่านั้นแต่ไกล จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย สหาย 2 คนนั้น คือไกลิตะและอุปติสสะกำลังเดินมา คู่สาวก
นี้แหละจักเป็นคู่สาวกที่เลิศที่เจริญ ครั้นแล้วทรงขยายพระธรรม-
เทศนา เนื่องด้วยจริยาแห่งบริษัทของ 2 สหายนั้น. เว้นพระอัครสาวก
ทั้งสอง ปริพาชก 250 คนแม้ทั้งหมดนั้น บรรลุพระอรหัต พระ-
ศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด. ผมและ
หนวดของปริพาชกเหล่านั้นหายไป บาตรและจีวรอันล้วนแล้วด้วย
ฤทธิ์ก็ได้มีมาแม้แก่พระอัครสาวกทั้งสองด้วย แต่กิจด้วยมรรคทั้ง
3 เบื้องสูง ยังไม่สำเร็จ. เพราะเหตุไร ? เพราะสาวกบารมีญาณ
เป็นของใหญ่. ครั้นในวันที่ 7 ตั้งแต่วันบวช ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
เข้าไปอาศัยบ้านกัลลวาลคามแคว้นมคธ กระทำสมณธรรมอยู่
เมื่อถูกถีนมิทธะครอบงำ พระศาสดาทรงทำให้สังเวชใจ บรรเทา
ถีนมิทธะเสียได้ กำลังฟังธาตุกรรมฐานที่พระตถาคตประทาน

อยู่ทีเดียว ทำกิจแห่งมรรค 3 เบื้องสูงให้สำเร็จถึงที่สุดแห่งสาวก-
บารมีญาณ. แม้พระสารีบุตรเถระล่วงเลยเวลาไปครึ่งเดือนตั้งแต่
วันบวช เข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์นั้นนั่นแหละอยู่ในถ้ำสุกรขาตา
กับพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงแสดงเวทนาปริคหสูตรแก่
ทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลานของตน ได้ส่งญาณไปตามกระแสพระสูตร
ก็ได้บรรลุถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ เหมือนบริโภคข้าวที่คดไว้
เพื่อคนอื่น ส่วนหลานของท่านาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในเวลาจบ
เทศนา. ดังนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์นั่นแล
กิจแห่งสาวกบารมีญาณของพระอัครสาวกแม้ทั้งสองได้ถึงที่สุด
แล้ว. ก็ในเวลาต่อมาอีก พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ได้
ทรงสถาปนาพระมหาสาวกแม้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า
สารีบุตรเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก มหาโมคคัล-
ลานะเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์มาก ดังนี้.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 2 - 3

อรรถกถาสูตรที่ 4



ประวัติพระมหากัสสปเถระ



ในสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า ธุตวาทานํ นี้ พึงทราบธุตบุคคล (บุคคลผู้กำจัดกิเลส)
ธุตวาทะ (การสอนเรื่องการกำจัดกิเลส) ธุตธรรม (ธรรมเครื่อง
กำจัดกิเลส) ธุดงค์ (องค์ของผู้กำจัดกิเลส).